บทที่ 1 ระบบตัวเลขใช้ในระบบ
ระบบตัวเลขที่เราได้ใช้กันมาตลอดและคุ้นเคยกันดีจะประกอบด้วยตัวเลขทั้งหมด 10 ตัวด้วยกันคือเลข 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 เป็นระบบการนับที่มนุษย์เราได้ใช้ในการสื่อสาร ใช้บอกขนาด ปริมาณ ทำให้สามารถเข้าใจตรงกันในการสื่อความหมาย ซึ่งระบบตัวเลขนี้คือเลขฐานสิบนั่นเอง
ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีโดยเฉพาะคอมพิวเตอร์
ซึ่งหลักการทำงานของคอมพิวเตอร์นั้นจะมีลักษณะการทำงานเป็นระบบดิจิตอลคือ
ระบบที่ทำงานด้วยแรงดันไฟฟ้าสองระดับ
เนื่องจากระบบดิจิตอลทำงานโดยอาศัยแรงดันไฟฟ้าสองระดับ
เราจึงสามารถใช้ระบบเลขฐานสอง (เลข 0 กับ เลข 1)
แทนแรงดันไฟฟ้าสองระดับนั้น
ดังนั้นเราจึงกล่าวได้ว่าคอมพิวเตอร์ที่สร้างด้วยวงจรอิเล็กทรอนิกส์ระบบดิจิตอล
ทำงานด้วยระบบเลขฐานสอง นั่นคือคอมพิวเตอร์จะใช้เพียงเลข 0 กับเลข 1
เท่านั้นในการทำงานแต่เนื่องจากคอมพิวเตอร์จะต้องคำนวณเลขที่มีค่ามากหรือต้องจัดการกับข้อมูลจำนวนมากๆ
เลขฐานสองที่ใช้นั้นจึงมีจำนวนหลักมากด้วย จำนวนหลักของเลขฐานสองนี่เองที่เราเรียกว่าบิต (Bit :
binary digit) เช่น
เลขฐานสองที่ใช้เป็นรหัสแทนตัวอักษรต่างๆบนแป้นพิมพ์ของคอมพิวเตอร์นั้นเป็นเลขฐานสองขนาด
8 บิต คือ มี 8 หลัก เช่น ตัวอักษร A แทนด้วย 0100 0001 อักษร Z แทนด้วย
0101 1010 เป็นต้น
ระบบตัวเลขแต่ละระบบมีจำนวนตัวเลขที่ใช้เหมือนกับชื่อของระบบตัวเลขนั้นและมีฐาน
(base) ของจำนวนเลขตามชื่อของมันด้วย เช่น
ระบบตัวเลขทางพีชคณิตที่นิยมใช้ในระบบดิจิตอลมีอยู่ 4 ระบบ คือ
ระบบเลขฐานสอง (Binary Number System )
มีเลขฐานเป็น 2 นั่นคือ ใช้สัญลักษณ์หรือหลักที่แตกต่างกันเท่ากับ 2
ในการแสดงค่าของตัวเลขระบบเลขฐานสอง ประกอบด้วยเลข 2 ตัว คือ 0 และ 1
เป็นเลขที่นิยมใช้กับคอมพิวเตอร์ในการประมวลผลการทำงาน การเก็บข้อมูล
หรือโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับสถานะทางไฟฟ้า
ระบบเลขฐานสิบ (Decimal Number System)
มีเลขฐานเป็น 10 นั่นคือ ใช้สัญลักษณ์หรือหลักที่แตกต่างกันเท่ากับ 10
ในการแสดงค่าของตัวเลขระบบเลขฐานสิบ ประกอบด้วยเลข 10 ตัว คือ 0, 1, 2,
3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ซึ่งเลขฐาน 10
เป็นเลขฐานที่มนุษย์ทั่วไปสามารถเข้าใจได้ง่ายมากที่สุดเพราะเป็นตัวเลขที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน
ระบบเลขฐานแปด (Octal Number System) มีเลขฐานเป็น 8 นั่นคือ ใช้สัญลักษณ์หรือหลักที่แตกต่างกันเท่ากับ 8 ในการแสดงค่าของตัวเลขระบบเลขฐานแปด ประกอบด้วยเลข 8 ตัว คือ 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7
ระบบเลขฐานสิบหก (Hexadecimal Number System) มีเลขฐานเป็น 16 นั่นคือ ใช้สัญลักษณ์หรือหลักที่แตกต่างกันเท่ากับ 16 ในการแสดงค่าของตัวเลขระบบเลขฐานสิบหก ประกอบด้วยเลข 16 ตัว
คือ 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, A, B, C, D, E, F เมื่อ A = 10, B =
11, C = 12, D = 13, E = 14, F = 15
1.1 ตารางการแปลงเลขระหว่างระบบเลขฐาน
การคำนวณ
1. การแปลงค่าเลขฐานสิบให้เป็นเลขฐานสอง ฐานแปดและฐานสิบหก สามารถคำนวณได้จากการหารสั้นด้วยเลขฐานที่ต้องการแปลงค่าแล้วนำผลลัพธ์และเศษที่ได้มาเรียงต่อกันจากล่างขึ้นบน
1. การแปลงค่าเลขฐานสิบให้เป็นเลขฐานสอง ฐานแปดและฐานสิบหก สามารถคำนวณได้จากการหารสั้นด้วยเลขฐานที่ต้องการแปลงค่าแล้วนำผลลัพธ์และเศษที่ได้มาเรียงต่อกันจากล่างขึ้นบน
2. การแปลงเลขฐานสอง ฐานแปดและฐานสิบหกให้เป็นเลขฐานสิบ
สามารถคำนวณได้จากการนำเลขฐานที่ต้องการแปลงในหลักนั้นมาคูณกับค่าประจำหลักของฐานแล้วนำแต่ละหลักมารวมกัน
3. การแปลงค่าเลขฐานสองให้เป็นเลขฐานแปด
สามารถคำนวณได้จากการแบ่งกลุ่มเลขฐานสอง
กลุ่มละสามหลักจากด้านขวาไปด้านซ้ายแล้วแปลงเลขฐานสองแต่ละกลุ่มให้เป็นเลขฐานสิบ
จากนั้นจึงนำตัวเลขที่ได้มาเรียงต่อกัน
ซึ่งการแปลงเลขฐานสองให้เป็นเลขฐานสิบนั้นสามารถคำนวณได้จากข้อ 2
หรือเทียบจากตารางเลขฐาน
4. การแปลงค่าเลขฐานสองให้เป็นเลขฐานสิบหก
สามารถคำนวณได้จากการแบ่งกลุ่มเลขฐานสอง
กลุ่มละสี่หลักจากด้านขวาไปด้านซ้ายแล้วแปลงเลขฐานสองแต่ละกลุ่มให้เป็นเลขฐานสิบ
จากนั้นนำตัวเลขที่ได้มาเรียงต่อกัน
5. การแปลงค่าเลขฐานแปดให้เป็นเลขฐานสอง
สามารถคำนวณได้จากการแบ่งเลขฐานแปดทีละหลัก
แปลงเลขฐานแปดให้เป็นเลขฐานสองสามหลักด้วยการเปรียบเทียบจากตารางเลขฐาน
หากเลขฐานสองนั้นมีไม่ถึงสามหลัก ให้เติม 0
ด้านหน้าของหลักนั้นแล้วจึงนำค่าที่ได้มาเรียงต่อกัน
6. การแปลงค่าเลขฐานแปดให้เป็นเลขฐานสิบหก
สามารถคำนวณได้จากการบ่งเลขฐานแปดทีละหลัก
แปลงเลขฐานแปดให้เป็นเลขฐานสองด้วยการเปรียบเทียบจากตารางเลขฐานแล้วนำเลขฐานสองที่ได้แปลงให้เป็นเลขฐานสิบหกอีกครั้งหนึ่ง
7.
การแปลงค่าเลขฐานสิบหกให้เป็นเลขฐานสอง สามารถคำนวณได้จากการแบ่งเลขฐานสิบหกทีละหลักแปลงเลขฐานสิบหกให้เป็นเลขฐานสองสี่หลักด้วยการเปรียบเทียบจากตารางเลขฐาน
หากเลขฐานสองนั้นมีไม่ถึงสี่หลักให้เติม 0
ด้านหน้าของหลักนั้นแล้วจึงนำค่าที่ได้มาเรียงต่อกัน
8.
การแปลงเลขฐานสิบหกให้เป็นเลขฐานแปด สามารถคำนวณได้จากการแปลงเลขฐานสิบหกให้เป็นเลขฐานสอง
แล้วแปลงจากเลขฐานสองให้เป็นเลขฐานแปดอีกครั้งหนึ่ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น