บทที่ 4 วงจรคอมบิเนชั่น
วงจร logic แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1. วงจร combination เป็นวงจรที่สัญญาณออก (output) ขึ้นอยู่กับสัญญาณเข้า (input) ณ เวลานั้นๆ
2. วงจร sequential เป็นวงจรที่สัญญาณออกขึ้นอยู่กับ
- สัญญาณเข้า ณ เวลานั้นๆ และ
- สถานะของวงจรในขณะนั้น (หรือสัญญาณเข้าก่อนหน้า)
วงจรคอมบิเนชัน (Combination circuits)
บางครั้งจะเรียกว่า วงจรเชิงจัดหมู่ เป็นวงจรที่ประกอบขึ้นด้วยลอจิกเกตต่าง
ๆ การสร้างวงจรก็คือ การนำเอาเกตต่าง ๆ
มาต่อกันเป็นวงจรเพื่อให้วงจรสามารถทำงานได้ตามที่เราต้องการ
การทำงานจะขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของเกตและสัญญาณอินพุทที่ป้อนเข้า
โดยแสดงออกทางเอาท์พุตของวงจร
นิพจน์บูลลีนแบบ Mimterm และ Maxterm
นิพจน์บูลลีน (Boolean expression)หรือสวิตชิงฟังชัน (Switching
Function)สามารถที่จะเขียนได้ 2 รูปแบบคือเขียนเป็นเทอมของการคูณ (Product term) ของตัวแปรเราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ามินเทอม (Minterm)และเขียนเป็นเทอมของการบวก (Sum term) ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าแมกซ์เทอม (Maxterm)
มินเทอม (Minterm)คือการเขียนนิพจน์บูลลีนในรูปผลคูณ ของตัวแปรทุกตัวตัวแปรแต่ละตัวสามารถมีค่าได้สองค่า คือค่าปกติและค่าคอมพลีเมนต์ เช่น
มินเทอม (Minterm)คือการเขียนนิพจน์บูลลีนในรูปผลคูณ ของตัวแปรทุกตัวตัวแปรแต่ละตัวสามารถมีค่าได้สองค่า คือค่าปกติและค่าคอมพลีเมนต์ เช่น
แต่ในเทอมหรือนิพจน์เดียวกัน จะมีได้เพียงค่าเดียว จำนวนนิพจน์ที่ได้จะขึ้นอยู่กับจำนวนตัวแปร คือ 2n มินเทอม ถ้า n เป็นจำนวนตัวแปรและค่าปกติจะถูกแทนด้วย "1" ส่วนค่าคอมพลีเมนต์จะถูกแทนด้วย"0" นั่นคือ ถ้า A = "1"จะเป็น A แต่ถ้า A= "0" ดังตัวอย่างในตารางข้างล่าง
แมกซ์เทอม (Maxterm)คือการเขียนนิพจน์บูลลีนในรูปผลบวก
ของตัวแปรทุกตัวตัวแปรแต่ละตัวสามารถจะมีค่าได้สองค่าเช่นเดียวกัน
คือค่าปกติและค่าคอมพลีเมนต์ เช่น
แต่ในเทอมหรือนิพจน์เดียวกันจะมีได้เพียงค่าเดียว จำนวนนิพจน์ที่ได้จะขึ้นอยู่กับจำนวนตัวแปร คือ 2n มินเทอมถ้า n เป็นจำนวนตัวแปรและค่าปกติจะถูกแทนด้วย "0" ส่วนค่าคอมพลีเมนต์จะถูกแทนด้วย "1" ดังตัวอย่างในตารางข้างบน
2. การสร้างสมการจากมินเทอมและแมกซ์เทอม
การสร้างสมการจากมินเทอมจะต้องใช้
มินเทอมที่ทำให้ลอจิกเอาท์พุตเป็น "1"
ทุกเทอมนำเอามินเทอมดังกล่าวมารวมกันด้วยตัวกระทำ OR จะได้สมการผลบวกของมินเทอมหรือ Sum Of Minterm ใช้เครื่องหมาย ∑m แทน Minterm
ตารางความจริงของวงจรลอจิกชนิด 3 ตัวแปร
พิจารณาจากตารางความจริง
1. ลอจิกเอาท์พุต X = "1" เมื่อ
พิจารณาจากตารางความจริง
1. ลอจิกเอาท์พุต X = "1" เมื่อ
2. นำเอามินเทอมมารวมกันด้วยตัวกระทำ OR เมื่อนำมารวมกันด้วยตัวกระทำ OR
ถ้าเทอมใดหรือหลายเทอมมีค่าลอจิกเป็น"1" เอาท์พุต X ก็จะเป็น "1"
จึงสามารถจะเขียนสมาการได้ดังนี้
3. สมการผลรบวกของมิมเทอมหรือ Sum Of Minterm จะเห็นว่าสมการที่ได้จากข้อ 2 เป็นสมการที่ได้จากการคูณทางลอจิก (AND) ของตัวแปรแล้วนำมารวมกันทางลอจิก (OR) จึงเรียกสมการนี้ว่าผลบวกของมินเทอม Sum Of Minterm
4. การเขียนสมการในรูปแบบอื่นสมการที่ได้จากข้อ 2 อาจเขียนในรูปของสวิตชิ่งฟังชั่นหรือบูลลีนฟังชั่นได้ดังนี้
รูปแบบมาตรฐานของสมการลอจิก (Standard
Forms)รูปแบบมาตรฐานของสมการลอจิกเป็นการทำสมการที่ได้จากมินเทอมและแมกซ์เทอมโดยให้อยู่ในรูปที่ง่ายและวงจรลอจิกที่ได้จะเป็นชนิด
2 ระดับ (Two-level logic) ซึ่งมีรูปแบบมาตราฐาน 2 รูปแบบคือ
1.สมการผลบวกของผลคูณหรือ SOP (Sum of Product)
เป็นสมการที่ประกอบด้วยตัวแปรปกติ (Uncomplement) หรือตัวแปรคอมพลีเมนต์ (Complement) ที่คูณทางลอจิกหรือ AND กัน และนำแต่ละเทอมมารวมกันทางลอจิก หรือ OR กัน ดังตัวอย่าง
เป็นสมการที่ประกอบด้วยตัวแปรปกติ (Uncomplement) หรือตัวแปรคอมพลีเมนต์ (Complement) ที่คูณทางลอจิกหรือ AND กัน และนำแต่ละเทอมมารวมกันทางลอจิก หรือ OR กัน ดังตัวอย่าง
ตัวอย่าง
เครื่องจักรในโรงงานแห่งหนึ่งจะหยุดทำงาน (Off)เมื่อตัวเซ็นเซอร์ (Sensor) 2
ใน 3 ตัว หรือทั้ง 3 ตัวมีค่าทางลอจิกเป็น HIGH จงออกแบบวงจรเซ็นเซอร์
(Sensor)ที่จะใช้ควบคุมเครื่องจักเครื่องนี้
ขั้นที่ 1 วิเคราะห์สิ่งที่ต้องการหรือโจทย์ปัญหา
อินพุต คือตัวเซ็นเซอร์ (Sensor) มี 3 อินพุต สมมุติให้เป็น A, B และ C
เอาท์พุตสมมุติให้ค่าลอจิกที่เป็น HIGH ทำให้เครื่องจักรให้หยุดทำงานให้ S แทนเอาท์พุต
เงื่อนไขทำให้เอาท์พุต (S) เป็น HIGH คือ อินพุต2 ใน 3 ตัว หรือทั้ง3 ตัวมีค่าทางลอจิกเป็น HIGH
ขั้นที่ 3 เขียนสมการลอจิกจะเขียนได้สองรูปแบบดังได้กล่าวมาแล้วคือ
แบบผลบวกของมินเทอมหรือผลบวกของผลคูณ (SOP)
และผลคูณของแมกซ์เทอมหรือผลคูณของผลบวก (POS) ดังนี้
สมการแบบ SOP จะนิยมใช้มากเพราะดูไม่ซับซ้อนและง่ายต่อการลดรูปสมการในขั้นตอนต่อไป
ขั้นที่ 4 ลดรูปสมการ
การลดรูปสมการเป็นการทำให้เกตและจำนวนตัวแปร(ตัวอักษรที่ใช้แทนตัวแปรในสมการ)
ลดน้อยลงเพื่อประหยัดเกต ทำให้วงจรง่าย ไม่ซับซ้อน
และไม่เสียเวลาในการสร้างวงจร ในขั้นตอนต่อไป การลดรูปสมการทำได้หลายวิธี
ได้แก่การใช้ตารางความจริง การใช้พีชคณิตบูลลีน
และการใช้เครื่องมือพิเศษอื่นๆเช่น การใช้ผังคาร์โนห์ (Karnaugh Map) เป็นต้น ซึ่งจะได้กล่าวรายละเอียดต่อไปสำหรับตัวอย่างนี้จะขอใช้พีชคณิตบูลลีน ดังนี้
ขั้นที่ 6 สร้างและทดสอบวงจร(มีรายละเอียดในหน่วยต่อไป)
ตัวอย่าง กำหนดให้ Q เป็นเอาท์พุตและ A,B และ C เป็นอินพุต โดยมีเงื่อนไขดังนี้
Q = "0" เมื่อ A="1", B ="0" หรือ A = "0", C = "0" ส่วนเงื่อนไขอื่น Q = "1"
ตัวอย่าง กำหนดให้ Q เป็นเอาท์พุตและ A,B และ C เป็นอินพุต โดยมีเงื่อนไขดังนี้
Q = "0" เมื่อ A="1", B ="0" หรือ A = "0", C = "0" ส่วนเงื่อนไขอื่น Q = "1"
ลดรูปสมการ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น